Music of My Mind วิว วรรณรท สนธิไชย “กายกับใจที่ทำงานสัมพันธ์กัน มีระเบียบ ไม่สับสนฟุ้งซ่าน จะนำพาไปสู่ภูมิชีวิตที่ดีต่อไป” สิ่งที่อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวิตได้กล่าวไว้ ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย เพราะความสมดุลของกายและใจคือสิ่งสำคัญของชีวิต นางเอกสาวอย่าง คุณวิว – วรรณรท สนธิไชย รู้ซึ้งถึงความสำคัญตรงนั้นเป็นอย่างดี เพราะด้วยชีวิตประจำวันที่คร่ำเคร่งอยู่กับการทำงาน ทำให้เธอเลือกที่จะผ่อนคลายตัวเองด้วยการฟัง ร้อง และเล่นเพลงที่ชอบ ซึ่งทำให้กายและใจของสาวน้อยคนนี้อยู่ในจุดที่สมดุลและสดชื่นอยู่ตลอดเวลา สมาธิสั้น...เปียโนช่วยได้ ใครเลยจะเชื่อว่า ผู้หญิงเรียบร้อยอย่างคุณวิวจะเคยเป็นเด็กสาวสมาธิสั้นมาก่อน โดยเธอเผยกับเราว่า เด็กสาววิวสมัยก่อน เป็นคนไม่อยู่นิ่ง และทำอะไรไม่ได้นาน “ยอมรับตามตรงว่า เป็นคนสมาธิสั้นตั้งแต่เด็ก จดจ่ออยู่กับอะไรนิดหน่อย ก็ไม่เอาแล้ว เบนความสนใจไปหาอย่างอื่น ซึ่งคุณแม่เห็นก็รู้สึกเหนื่อยใจ เพราะอยากให้ลูกสาวมีสมาธิอยู่กับสิ่งต่างๆ ได้นานขึ้น จึงส่งลูกสาวไปเรียนเปียโน” คุณแม่เป็นคนแรกๆ ที่จุดประกายให้คุณวิวชอบดนตรี โดยส่งลูกสาวของตัวเองไปเรียนเปียโนเพื่อขัดเกลาสมาธิ แต่หารู้ไม่ว่า เปียโนทำให้เธอชอบดนตรีแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว “คุณแม่เคยอ่านตำราเจอว่า ถ้าอยากให้ลูกมีสมาธินานขึ้น ต้องส่งลูกไปเรียนสิ่งที่ต้องมีสมาธิจดจ่ออยู่กับมัน เช่น เปียโน คุณแม่จึงถามวิวว่า อยากเรียนเปียโนไหม วิวอยากเรียน ก็เลยได้ไปเรียน และเปียโนทำให้วิวดีขึ้นจริงๆ เพราะวิวสามารถทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้น และที่สำคัญ เมื่อเรียนเปียโนไปเรื่อยๆ กลับทำให้วิวชอบที่จะฟังเพลงตั้งแต่เด็ก” เป็นเพราะชอบฟังและร้องเพลงบ่อยๆ ทำให้บางทีเธอก็นำเพลงเหล่านั้นไปใช้กับการแสดงของตัวเองเหมือนกัน “จริงค่ะ เวลาแสดงละครในบางที วิวจะนำเพลงเหล่านั้นมาใช้ ซึ่งตอนแรกวิวก็แปลกใจเหมือนกันว่า ตัวเองผิดปกติอยู่คนเดียวหรือเปล่า (หัวเราะ) เนื่องจากเวลาแสดงในแต่ละฉากนั้น วิวจะมีเพลงให้ความรู้สึกกับตัวเองอยู่ 1 เพลง เพื่อบอกความรู้สึกหรืออารมณ์ในฉากดังกล่าว “คิดว่าตัวเองแปลกอยู่คนเดียว แต่ไม่เลย พอดีเมื่อวันก่อนมีโอกาสได้พูดคุยกับน้องแก้ม เดอะ สตาร์ (วิชญานี เปียกลิ่น) เขาก็เป็นเหมือนกับเรา ซึ่งเหล่านักร้องหรือคนที่ชอบดนตรี จะมีทำนองในตัวเอง หรืออินเนอร์ (inner) อะไรบางอย่าง เพื่อส่งอารมณ์ในฉากนั้น” “บางคนฟังเพลงแล้วร้องไห้ หรือบางคนฟังเพลงแล้วอารมณ์ดี โดยวิวใช้เพลงในการแสดงของตัวเอง เพื่อใช้เรียกอารมณ์ของตัวละครออกมา หรือว่าใช้เพลงเมื่อสมาธิของเราไม่อยู่นิ่ง วิวก็จะฟังเพลงเพื่อรวบรวมสมาธิ และมีสติอยู่กับตัวละครมากขึ้น” “เพราะเพลงหรือดนตรี ช่วยขัดเกลาอารมณ์และความรู้สึกของคนเราได้ ช่วยให้คนสร้างสรรค์สิ่งดีงามต่างๆ ขึ้นมาได้ หรือช่วยให้ร่างกายและจิตใจเข้าสู่จุดสมดุลได้ ซึ่งถ้าคุณขาดเพลงหรือดนตรีไป วิวมองว่า ชีวิตคนนั้นจะสับสน วุ่นวาย และยุ่งยากอย่างแน่นอน” เพลงช่วยให้จิตใจแข็งแรงมากขึ้นจริงๆ ... ชีวจิต รับประกัน

คู่มือกินวิตามินตามวัย อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต กล่าวถึงความสำคัญของวิตามินและแร่ธาตุ ไว้ในตอนหนึ่งของหนังสือ ปั้นชีวิตด้วยชีวจิต เล่ม 1 สำนักพิมพ์คลินิกสุขภาพว่า “คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน จัดเป็นสารอาหารกลุ่มใหญ่ (Macronutrients) ที่ให้พลังงาน ทำให้มีเรี่ยวมีแรง กินแล้วจะกลายเป็นเลือดเนื้อของเรา ร่างกายจึงขาดไม่ได้ แต่สารอาหารกลุ่มใหญ่นี้จะกลายเป็นพลังหรือแรงของเราไม่ได้หากปราศจากสารอาหารกลุ่มเล็ก (Micronutrients) ที่เรียกว่า วิตามินและแร่ธาตุ” เพราะวิตามินและแร่ธาตุมีส่วนช่วยในการดูดซึมสารอาหาร เป็นส่วนประกอบของน้ำย่อย ทั้งช่วยเปลี่ยนสารอาหารกลุ่มใหญ่ให้กลายเป็นพลังงาน สารอาหารกลุ่มเล็กนี้จึงนับว่ามีความสำคัญชนิดที่ร่างกายขาดไม่ได้เช่นกัน แม้วิตามินและแร่ธาตุแต่ละชนิดจะมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แต่เรื่องพิเศษปักษ์นี้ขอชวนผู้อ่านมาให้ความสำคัญกับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับคนในแต่ละช่วงวัย เพื่อให้เลือกกินได้อย่างเหมาะสมและมีสุขภาพแข็งแรง สอดคล้องกับความต้องการและการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในทุกช่วงวัยค่ะ กินวิตามินช้า อาจไม่ทันการ ศาสตราจารย์เวอร์เนอร์ คอลลาท มหาวิทยาลัยโรสต็อก ประเทศสวีเดน สงสัยว่า ร่างกายจะเติบโตและมีพัฒนาการอย่างไร หากตั้งแต่วัยเด็ก กินอาหารที่มีสารอาหารหลักประเภทคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ครบถ้วน แต่ขาดวิตามินและแร่ธาตุจำเป็น เพื่อหาคำตอบ ศาสตราจารย์เวอร์เนอร์จึงทำการทดลองโดย แบ่งหนูทดลองออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้กินอาหารจำพวกข้าวขัดขาว อาหารโปรตีนสูง และอาหารดัดแปลงที่ขาดวิตามินและแร่ธาตุ (เป็นตัวแทนผู้ที่กินแต่อาหารจำพวกข้าวแป้งขัดขาว เนื้อสัตว์ และไม่กินผัก) ส่วนอีกกลุ่มให้กินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารและวิตามินครบถ้วน (เป็นตัวแทนผู้ที่กินอาหารครบหมู่หลากหลาย และได้รับวิตามินจากผักผลไม้อย่างเพียงพอ) ผลปรากฏว่าอัตราการเจริญเติบโตของหนูทั้ง 2 กลุ่มไม่แตกต่างต่างกัน แต่พบว่าหลังจากร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่ หนูกลุ่มแรกกลับมีร่างกายเสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว ทั้งฟันผุ ท้องผูก มีแบคทีเรียในลำไส้มากเกินไป แคลเซียมในกระดูกลดลง เป็นโรคผิวหนัง ไขมันอุดตันในเส้นเลือด และยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจอีกด้วย ศาสตราจารย์เวอร์เนอร์เห็นท่าไม่ดีจึงรีบเสริมสารสกัดวิตามินและแร่ธาตุชุดใหญ่ แต่พบว่าไม่สามารถช่วยได้มากนัก จึงเปลี่ยนวิธีใหม่ โดยให้หนูทดลองกินวิตามินจากผักผลไม้เพิ่มขึ้น ผลปรากฏว่าหนูทดลองกลุ่มแรกมีสุขภาพแข็งแรงขึ้น แต่ความแข็งแรงของร่างกายยังคงน้อยกว่าอีกกลุ่มที่ให้กินผักผลไม้และได้รับสารอาหารครบถ้วนตั้งแต่ยังเล็ก งานวิจัยเรื่องนี้จึงสรุปว่า วิตามินและแร่ธาตุมีความสำคัญต่อร่างกายเช่นเดียวกับสารอาหารหลักที่ให้พลังงาน ฉะนั้นควรกินวิตามินและแร่ธาตุจากผักผลไม้อย่างเพียงพอตั้งแต่วัยเด็ก และต่อเนื่องในทุกกลุ่มอายุ เพราะช่วยให้ร่างกายเติบโตสมวัย สุขภาพแข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคภัยต่างๆ ทั้งยังช่วยชะลอความเสื่อมตามวัยอีกด้วย เริ่มที่ส่วนแรกก็น่าสนใจ และน่าติดตามแล้ว ยังมีวิธีกิน การเช็คอาการป่วยจากการขาดวิตามินอีก และเรื่องราวจากผู้ที่มีประสบการณ์ที่กินวิตามินมากไป ติดตามอ่านต่อได้ที่ คอลัมน์ “เรื่องพิเศษ” นิตยสารชีวจิต ฉบับ 379 (16 กรกฎาคม 2557)

ข้าวอาร์ซีกะเพรา ข้าวอาร์ซีกะเพรา คนที่ต้มน้ำอาร์ซี (ต้มจากเมล็ดธัญพืช 9 ชนิด) ดื่มทุกวัน อาจพบปัญหาว่า มีกากข้าวเหลือจำนวนมาก หุงเป็นข้าวสวยก็แล้ว ทำเป็นข้าวต้มก็แล้ว แต่ยังเหลือกากข้าวอยู่ดี แถมรู้สึก เบื่อเมนูข้าวอาร์ซีแบบเดิมๆ ปักษ์นี้ คนสวยเลยนำกากข้าวอาร์ซีมาดัดแปลงเป็น เมนูยอดฮิตคุ้นลิ้นคนไทย “ข้าวอาร์ซีกะเพรา”ให้คุณผู้อ่านได้ลองชิมกัน ความพิเศษอยู่ที่ การนำข้าวอาร์ซีหุงสุกมาผสมกับมันฝรั่งต้มสุก ปรุงรสเล็กน้อย ทำเป็นแผ่นกลม แล้วจี่ในกระทะจนหอม ราดด้วยกะเพราลูกชิ้นปลา กินแล้วรับรองว่า ได้ครบทั้งใยอาหารจากเมล็ดธัญพืช 9 ชนิด และวิตามินจากผักและสมุนไพรในเครื่องกะเพรา รับประกันอร่อยถูกปากแน่นนอนค่ะ ส่วนผสม ข้าวอาร์ซีหุงสุก 3 ถ้วย มันฝรั่งต้มสุกบดละเอียด 1 ถ้วย เกลือ ¼ ช้อนชา ซีอิ๊วญี่ปุ่น 1 ช้อนชา รากผักชี 2 ราก พริกขี้หนู 10 เม็ด กระเทียม 5 กลีบ น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา ซีอิ๊วดำเล็กน้อย ลูกชิ้นปลาเม็ดเล็ก 3 ขีด แครอตหั่นสี่เหลี่ยมเต๋า ½ ถ้วย ข้าวโพดอ่อนหั่นเป็นแว่น ½ ถ้วย ถั่วฝักยาวหั่นเป็นแว่น ½ ถ้วย เห็ดเข็มทอง ½ ถ้วย พริกชี้ฟ้าหั่นเฉลียง 2-3 เม็ด กะเพราสับละเอียด 1 ถ้วย พริกไทยอ่อน 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ 1.ผสมข้าวอาร์ซีและมันฝรั่ง เข้าด้วยกัน จากนั้นปรุงรสด้วยเกลือ ซีอิ๊วญี่ปุ่น คลุกเคล้าให้เข้ากัน 2.วางแผ่นพลาสติกลงบนโต๊ะ ทาน้ำมันพืชบริเวณขอบในของพิมพ์วงกลมให้ทั่ว วางพิมพ์วงบนถุงพลาสติก จากนั้นตักข้าวอาร์ซีที่ปรุงรสแล้ววางลงในพิมพ์จนเต็ม เกลี่ยหน้าให้เรียบ 3.เทน้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ ลงในกระทะ วางพิมพ์ที่อัดข้าวอาร์ซีไว้ลงไป แล้วค่อยดึงพิมพ์ขึ้น จี่โดยใช้ไฟอ่อน จนสุกเหลืองทั้งสองด้าน ตักขึ้นพักไว้ 4.โขลกรากผักชี กระเทียม และพริกขี้หนูให้ละเอียด นำลงผัดกับน้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะให้หอม ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ ซีอิ๊วดำ ใส่ลูกชิ้นปลา แครอต ข้าวโพด ถั่วฝักยาว เห็ดเข็มทองลงไป ผัดให้ผักสุก ใส่กะเพราะสับละเอียด พริกชี้ฟ้า พริกไทยอ่อน เคล้าให้เข้ากัน ปิดไฟ 5.ตักส่วนผสมในข้อ 4 ราดลงบนข้าวอาร์ซีที่จี่ไว้แล้ว พร้อมเสิร์ฟแล้ว พร้อมเสิร์ฟ

4 Tips ถนอมดวงตาคนทำงานดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญของคนทำงาน หากไม่ยอมดูแลเสียแต่เนิ่นๆ อาจป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับดวงตาก่อนวัยอันควร หนังสือ 188 เคล็ดลับชะลอวัย ของแพทย์หญิงธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล สำนักพิมพ์อมรินทร์สุขภาพ แนะนำเคล็ดลับถนอมดวงตาไว้ดังนี้ 1.หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และควรสวมแว่นตากันแดดเป็นประจำเมื่อออกแดด เพื่อป้องกันโรคต้อกระจกและต้อลมซึ่งเกิดจากรังสียูวีช่วงแสงสีฟ้า 2.พักสายตาทุก 20 นาที เมื่อต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ด้วยการมองไปไกลๆ ประมาณ 20 ฟุต หรืออาจมองต้นไม้สีเขียว ก็จะช่วยแก้อาการดวงตาเมื่อยล้าจากการจ้องจอคอมพิวเตอร์ได้ 3.กินผักใบเขียว เช่น บรอกโคลี ผักโขม คะน้า ผักบุ้ง ปวงเล้ง และผักสีเหลือง เช่น ข้าวโพด เพราะอาหารเหล่านี้อุดมไปด้วยสารลูทีนซึ่งมีคุณสมบัติในการกรองรังสียูวีช่วงแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตา และยังช่วยชะลอการเสื่อมของจอประสาทตาได้อีกด้วย 4.ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำ เพราะโรคตาหลายชนิดมักไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น เช่น ต้อหิน หรือจอประสาทตาเสื่อม โดยเฉพาะผู้ที่อายุเกิน 40 ปี ควรตรวจสุขภาพดวงตาทุก 2-4 ปี เพราะเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคได้ เพราะดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ เราจึงต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพื่อให้หน้าต่างบานนี้ดูสดใส สามารถสื่อความในใจได้อย่างงดงาม

อาหารลดโกรธคู่รักหลังเลิกงานหลังจากความหวานชื่นในชีวิตแต่งงานจืดจางไป ความขม (ขื่น) มักเข้ามาแทรกตามสูตร หลายคู่เหม็นขี้หน้ากัน ราวกับเห็นอาหารแสลง โดยเฉพาะช่วงหลังเลิกงาน ที่ต่างฝ่ายต่างพกความเครียดจากที่ทำงานใส่กระเป๋ากลับมา จากการทดลองค้นหาสาเหตุความฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดของคู่รัก ที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences พบว่า สาเหตุหลักๆ มาจากสภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ “ฉะนั้น คู่รักเหล่านี้จึงเกิดอาการ โมโหหิว หรือ hanger ซึ่งมาจากคำว่า hungry สมาสกับ angry” ดร. บราดเจ. บุชแมน อาจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมลรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกากล่าว ดร.บุชแมนแนะนำให้กินอาหารบำรุงสมอง ซึ่งคือ กลูโคส ที่จะตรงเข้าไปบำรุงสมองส่วนหน้า หรือคอร์เทค ที่ทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมอารมณ์ของเรา อาหารที่มีกลูโคสได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ เผือกต้ม มันต้มหรืออื่นๆ ในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต นอกจากนี้ ยังมีน้ำอาร์ซี ซึ่งอาจารย์สาทิส อินทรกำแหงกูรูต้นตำรับคิดค้นเพื่อบำรุงสมองโดยเฉพาะ วิธีการทำน้ำอาร์ซีนั้น อยู่ในลิงค์นี้ค่ะ http://cheewajit.com/rc.aspx