Healthy Young Gen ‘แยม – มทิรา ตันติประสุต’ สิ่งใดที่ขึ้นชื่อว่า ได้ทำหรือเพิ่งเริ่มต้นเป็นครั้งแรก ย่อมมีความกดดันเป็นของธรรมดา ‘แยม – มทิรา ตันติประสุต’ เองก็เช่นเดียวกัน เพราะเธอก้าวขึ้นมาเป็นนางเอกใหม่ของช่อง 3 จากเรื่อง ‘ไฟรักเพลิงแค้น’ ที่กำลังลงจอรอฉายในขณะนี้ และครั้งนี้เป็นการเล่าถึงการทำงานกับบทบาทครั้งสำคัญของเธอว่าเป็นอย่างไร แถมยังมีเรื่องของการเรียนที่ต้องทำควบคู่ไปกับงานแสดงของตัวเองอีก แล้วแบบนี้แยมจะมีเวลาดูแลสุขภาพของตัวเองบ้างหรือเปล่า คิดให้ชีวิตไม่เครียด “ไฟรักเพลิงแค้นกับแค้นเสน่หานี่ต่างกันคนละขั้วเลยค่ะ แค้นเสน่หาจะเป็นดราม่าในรุ่นของพ่อแม่ ตัวละครที่เราแสดงจะไม่ค่อยเกี่ยวกันเท่าไหร่ เราจะเป็นเพียงแค่ตัวละครที่เสริมเรื่องให้น่าสนใจและเข้มข้นขึ้นเท่านั้น โดย ‘แค้นเสน่หา’ แยมจะเป็นแค่เด็กใสๆ น่ารัก ทะเลาะกันไปมาแบบมีความสุข แต่ถ้าเป็น ‘ไฟรักเพลิงแค้น’ นั้น แยมจะเป็นคนสร้างและผูกเรื่องขึ้นมาเองทั้งหมด ถือเป็นตัวปัญหาของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ (หัวเราะ) เพราะถ้าแยมไม่มาแก้แค้น ทุกอย่างในเรื่องก็จะดูสงบ แต่เราเองกลับเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดเรื่องราวนี้ขึ้นมา” เป็นตัวเดินเรื่องหลักแบบนี้ ความเครียดและความกดดันน่าจะเทมาที่แยมพอสมควร สาวนัยน์ตาคมของเราสวนกลับมาทันทีว่า “เครียดพอสมควรค่ะ เอาเข้าจริงมันมีทั้งเครียดและไม่เครียดปะปนกันไป อย่างถ้าเครียดก็จะเครียดในเรื่องของกลัวทำอารมณ์ไม่ถึงหรือทำออกมาได้ไม่ถูกใจพวกพี่ๆ เขา แต่ที่ไม่เครียดก็เพราะพี่ชุ (ชุดาภา จันทเขตต์) เขาคอยช่วยแยมอยู่ตลอด ทำให้การทำงานในกองถ่ายละครสบายและไม่เครียดจนเกินไป แยมจึงไม่รู้สึกกดดันเท่าไหร่ แต่บางครั้งก็อาจจะมีบทหนักๆ บ้าง ไม่ว่าจะเป็น ทะเลาะกับพระเอกอย่างรุนแรง หรือต้องมีอารมณ์ร้องไห้แบบจริงจังมาก ก็จะรู้สึกเครียดอยู่พักหนึ่ง แต่แยมก็จะรับมือกับความเครียดเหล่านั้นด้วยการเต็มที่กับงานในทุกๆ เรื่อง เพราะแยมคิดว่า ถ้าทำอะไรเต็มที่แล้ว ความเครียดก็จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังให้เราลุยกับอุปสรรคในทุกๆ เรื่องที่ทำได้” ควบคุมอาหาร เป็นนางเอกน้องใหม่เต็มตัวเรื่องแรกแบบนี้ น่าจะต้องดูแลสุขภาพของตัวเองเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องของอาหารการกิน เราเลยถามแยมกลับไปว่า มีวิธีการเลือกและคัดสรรอาหารที่ตัวเองกินเข้าไปอย่างไร “ในเรื่องการดูแลสุขภาพ แยมจะมีความเป็นผู้ชายอยู่ในตัวค่อนข้างสูงมาก คืออาจจะไม่ได้ละเอียดลออมากนัก แต่ก็ทำในส่วนที่เราต้องทำเป็นกิจวัตร ไม่ว่าจะเป็น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ หรือออกกำลังกายให้พอเหมาะ ซึ่งการปฏิบัติให้ครบเพียงเท่านี้ แยมก็คิดว่าน่าจะเพียงพอแล้วสำหรับคนคนหนึ่ง แต่พอรู้ว่าตัวเองมีนิสัยของความเป็นผู้ชายแบบนี้อยู่แล้ว คนที่จะควบคุมเรื่องของอาหารการกินของแยมได้ดี นั่นก็คือ พี่ๆ ที่กองถ่าย เพราะเขาจะรู้จักนิสัยการกินของแยมเป็นอย่างดี อย่างแยมเป็นคนที่ชอบกินขนมมากๆ พี่ๆ เขาก็จะคอยเตือนว่า ห้ามกินเยอะ ให้เพลาๆ เรื่องของขนมหน่อย ตอนนี้อ้วนไปแล้ว ซึ่งจะมีการเตือนจากพี่ที่กองมาเป็นระยะๆ” เราขอให้นางเอกน้องใหม่ที่ดูแลสุขภาพของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม แนะนำถึงน้องใหม่ทุกคนที่อยากเริ่มต้นดูแลสุขภาพว่าเขาควรจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร “ถึงแม้เราจะบอกกับตัวเองว่า ตอนนี้ยังเด็กสามารถกินนั่นกินนี่ได้ แต่ผลระยะยาวรับรองได้เลยว่า อ้วนแน่ๆ ดังนั้นแล้วแยมคิดว่า ดูแลตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ ดีกว่าที่เราจะไปเสียใจในวันข้างหน้าที่ไม่ได้หันมาดูแลตัวเอง”

กินปลาไทยๆ ป้องโรคในราคาประหยัด ปลาเป็นอาหารสุขภาพที่อร่อย ย่อยง่าย ราคาไม่แพง แถมยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย กลุ่มวิเคราะห์คุณค่าโภชนาการ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จึงได้แนะนำสารอาหารโดดเด่นสูงสุดที่พบในปลาไทย สรุปไว้ในบทความ “ปลา อาหารคู่ชีวิต” ดังนี้ โปรตีน ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ในเนื้อปลา 100 กรัม พบโปรตีนในปลาดุก 23.0 กรัม ปลาตะเพียน 22.0 กรัม ปลากระบอก 20.7 กรัม กรดไลโนเลอิค (Linoleic acid) ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดคอเลสเตอรอล เนื้อปลาที่พบปริมาณกรดไลโนเลอิคสูงสุด คิดเป็นร้อยละจากปริมาณไขมันทั้งหมด คือ ปลาตะเพียน ร้อยละ 19.3 ปลากราย ร้อยละ 13.4 ปลาดุก ร้อยละ 11.8 กรดดีเอชเอ (DHA - Docosacexaenoic acid) ช่วยการทำงานของเซลล์สมองและจอตา เนื้อปลาที่พบปริมาณกรดดีเอชเอสูงสุด คิดเป็นร้อยละจากปริมาณไขมันทั้งหมด คือ ปลาตาเดียว ร้อยละ 25.3 ปลาทรายแดง ร้อยละ 25.0 ปลาไส้ตัน ร้อยละ 20.7

4 New Yoga Benefits ขึ้นชื่อว่า การออกกำลังกายย่อมดีต่อสุขภาพ ซึ่งแต่ละประเภทก็มีข้อเด่นแตกต่างกันออกไป ชีวจิตพากเพียรนำเสนอประโยชน์เหล่านั้น เผื่อมีอะไรกระแทกใจ ให้คุณลุกขึ้นมาขยับร่างกายเคลื่อนไหว ปักษ์นี้อีกเช่นกัน ที่เราขอนำเสนอประโยชน์แบบใหม่ของการฝึกโยคะ ซึ่งนักวิจัยเพิ่งพบ เพิ่มความรู้เท่าทันตนเอง เพราะการฝึกโยคะอย่างแช่มช้า ทำให้เราเห็นรายละเอียดในใจตน คุณจิเลียน ปรานสกี้ ผู้ฝึกสอนและผู้อำนวยการศูนย์การฝึกครูสอนโยคะเพื่อการเยียวยา YogaWorks กล่าวว่า “ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงเห็นความรู้สึกด้านลบที่เกิดขึ้นในใจ เช่น โกรธ หรือหงุดหงิด ซึ่งก็ช่วยยับยั้งไม่ให้เราระเบิดออกไป” ช่วยให้กล่าวขอโทษง่ายขึ้น ในเรื่องนี้...บางทีปากเราเอ่ย แต่ใจกลับไม่รู้สึก การฝึกโยคะจะช่วยให้เรามองเห็นว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในใจอย่างไร ซึ่งความเข้าใจนี้จะช่วยให้เรายอมรับความผิดพลาดของตนง่ายขึ้น ทำให้สามารถอยู่กับปัจจุบัน เพราะครูโยคะมักสอนให้ผู้เรียนมอบความรักแด่สรรพสิ่ง กล่าวขอบคุณต่อสิ่งรอบข้าง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน…เหล่านี้ช่วยให้ผู้เรียนมีความสุขอยู่กับสิ่งรอบข้างณ ปัจจุบันได้ เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ เนื่องจากการฝึกโยคะเป็นการช่วยเพิ่มความมั่นใจและความสบายใจ ซึ่งทำให้เราไม่เคอะเขินต่อการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น จึงส่งผลดีโดยตรงต่อความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ รวมทั้งความหวานชื่นแบบสามีภรรยา ทั้งหมดนี้ ยังไม่รวมความสุข ความแข็งแรง คลายเครียด เรียกสติและเพิ่มสมาธิ ที่เป็นประโยชน์หลักๆ ของการฝึกโยคะนะคะ

คอนเฟิร์ม! สารพัดสารพิษ ตัวการก่อมะเร็ง คำว่า “สารพิษ”ในภาษาอังกฤษตรงกับคำว่า ท็อกซิน (Toxin) ซึ่งมาจากภาษากรีก แปลว่า ธนูและลูกศร โดยอาจมีความหมายเปรียบเทียบ สารพิษที่รุมเร้าอยู่รอบกายเราทุกคน ดังห่าลูกศรอาบยาพิษที่พุ่งใส่ร่างนักรบกรีก จริงหรือไม่ที่ทุกวันนี้ เราต้องเผชิญกับสารพัดสารพิษ หนังสือพลังบำบัด ของ นายแพทย์แอนดรู ไวล์ ได้อธิบายแหล่งสารพิษที่เราต้องพบในชีวิตประจำวัน สรุปได้ดังนี้ เราสามารถพบสารพิษทั้งจากสิ่งแวดล้อม อาหาร อากาศ น้ำดื่ม ยารักษาโรค เครื่องใช้ต่างๆในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะสารพิษจากวิถีเกษตรเคมี จำพวก ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง ยากันเชื้อรา ยาปฏิชีวนะและฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ซึ่งอาจไม่ได้ทำให้เราเจ็บป่วยแบบเฉียบพลัน แต่เป็นการเพิ่มความเสี่ยงในระยะยาว โดยเฉพาะโอกาสเกิดโรคมะเร็ง ภูมิคุ้มกันผิดปกติ และโรคเรื้อรังอีกมากมาย การได้รับสารพิษนั้นเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างไร เรามีประสบการณ์สุขภาพจากผู้ป่วยทั้ง 4 คนมาบอกเล่ากันค่ะ ไซนัส สูดควัน เครียด สารพันสาเหตุมะเร็งหลังโพรงจมูก มะเร็งหลังโพรงจมูก เป็นโรคหนึ่งที่มักเกิดในเพศชาย เชื้อสายจีน มีประวัติการสูบบุหรี่ หรือสูดดมสารเคมีต่อเนื่องยาวนาน ทว่าในกรณีของคุณกัณณิกา ปฏิคมวงศ์ หรือ เบลล์ ซึ่งเป็นเพียงสาววัย 27 ปี (ในขณะนั้น) กลับถูกโรคร้ายเล่นงาน โดยคุณหมอคาดว่า มีสาเหตุมาจากอาการไซนัสอักเสบเรื้อรัง “ตอนที่รู้ว่าเป็นมะเร็ง แรกทีเดียวคิดว่า ถามตัวเองว่าเป็นเพราะพันธุกรรมหรือเปล่า คือ คุณย่าป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ และน้าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม แต่คุณหมออธิบายว่าไม่น่าจะใช่ เพราะเป็นมะเร็งคนละชนิดกัน คุณหมอจึงสอบถามถึงอาการต่างๆที่เกี่ยวกับจมูกแทน ตั้งแต่เด็ก เบลล์มักเป็นหวัดอยู่เสมอ และมีโรคประจำตัวคือโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ เพียงแค่อากาศเปลี่ยน เจอฝุ่น ควัน น้ำหอม หรือกลิ่นหมึกก็ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ จึงพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ แต่ก็ยังเกิดอาการแพ้อยู่เรื่อย ต้องกินยาตามอาการเรื่อยมา แต่ไม่เคยรักษาให้หายขาดได้เสียที “คุณหมอจึงให้น้ำหนักกับเรื่องนี้ โดยอธิบายว่า เมื่อเป็นหวัดหรือเกิดอาการแพ้ จะเกิดการคัดหลั่งของของเหลวในจมูก นานวันเข้า ส่งผลให้เนื้อเยื่อก่อตัวเป็นก้อนเนื้อ นำไปสู่การเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูกในที่สุด” นั่นแสดงว่า เธอต้องเผชิญกับสารก่อภูมิแพ้หรือสารเคมีบางอย่างอยู่เสมอ เราจึงสอบถามสภาพแวดล้อมรอบตัวของเธอ หลังนึกอยู่ครู่ใหญ่ คุณเบลล์ค่อยๆลำดับความเป็นอยู่ของเธอให้เราฟัง “แต่ก่อน อยู่บ้านริมคลองที่มีน้ำเน่าเสีย ได้กลิ่นเหม็นของน้ำเสมอ ตำแหน่งเตียงนอนก็อยู่ตรงหน้าต่างพอดี และทุกครั้งที่เปิดหน้าต่างนอน จะเป็นหวัดทุกครั้ง “พอโตขึ้นมาอีกหน่อย ย้ายบ้านไปอยู่ริมถนน จำได้ว่า เบลล์คอยช่วยขายของด้วย เจอฝุ่นควันตลอด และพอเข้ามหาวิทยาลัย ก็ย้ายไปอยู่หอ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงงานป่นกระดูกสัตว์ ต้องเจอกลิ่นซากกระดูกจากโรงงานเป็นระยะๆ” กินผิด+เครียด เสี่ยงมะเร็งได้ แม้จะไม่ได้เข้าไปใกล้ชิดหรือสูดดมสารเคมีโดยตรง แต่ด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ร่างกายของเธอจึงสะสมสารพิษที่ล่องลอยอยู่ในอากาศเรื่อยมา พร้อมกับอาการภูมิแพ้ที่กำเริบเป็นระยะ จนกลายเป็นไซนัสอักเสบเรื้อรัง แต่นั่นยังไม่ทำให้มะเร็งร้ายสำแดงฤทธิ์ให้เห็น “หลังจากเรียนจบ และเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโท ช่วงนั้นเครียดมาก ทั้งเรื่องเรียน การทำวิทยานิพนธ์ และเราเป็นคนคิดมากอยู่แล้ว เลยรู้สึกกดดันไปหมด น่าจะมีส่วนทำให้การใช้ชีวิตผิดเพี้ยนไปด้วย “อย่างการกิน เราพึ่งพาอาหารจากร้านสะดวกซื้อ กินอาหารแช่แข็ง อุ่นไมโครเวฟ เป็นประจำ และชอบกินอาหารปิ้งย่างเป็นพิเศษ หลังเลิกเรียน(สามทุ่ม) ก็มักแวะร้านหมูกระทะเสมอ “ส่วนเรื่องพักผ่อน ช่วงเรียน เบลล์นอนดึกมากและนอนไม่เป็นเวลา แถมไม่เคยออกกำลังกายเลย” ช่วงชีวิตนี้เอง ที่เป็นตัวเร่งให้เชื้อมะเร็งร้ายของเธอเติบโต จนเกิดอาการผิดปกติในที่สุด “หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทและทำงานเป็นครูอยู่ 1 ปี เบลล์เกิดอาการคัดจมูกข้างเดียว หายใจไม่ออก สั่งน้ำมูกก็ไม่มีอะไรออกมา จนกระทั่งวันหนึ่ง สิ่งที่ติดแน่นอยู่ในจมูกหลุดลงคอ จึงบ้วนออกมา ปรากฏว่า เป็นก้อน มีลักษณะคล้ายเสลดสีเขียวเข้มแต่แข็งกว่า และมีเมือกล้อมรอบ เมื่อเอาไปให้คุณหมอตรวจ จึงพบว่าเป็นเนื้อร้ายค่ะ” เพราะมีเหตุเริ่มคือ อาการไซนัสอักเสบเรื้อรัง อันเกิดจากการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสารพิษเมื่อผนวกกับวิถีชีวิตที่รีบเร่งเคร่งเครียดแบบคนเมือง เสริมด้วยการกินแต่อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ แถมยังไม่เคยพักผ่อนอย่างเต็มที่และขยับออกกำลังกายเลย สารพิษทั้งหลายจึงยิ่งสะสม ก่อเกิดเป็นเนื้อร้าย ทำให้คุณเบลล์กลายเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งหลังโพรงจมูกนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นสารพิษชนิดไหน เราก็ควรจะหลีกเลี่ยง ก่อนป่วยเป็นมะเร็งค่ะ นี่เป็นเพียงประสบการณ์แรกเท่านั้น ยังเหลืออีก 3 ประสบการษ์ที่น่าสนใจมากๆ ติดตามอ่านต่อได้ที่ คอลัมน์ “เรื่องพิเศษ” นิตยสารชีวจิต ฉบับ 374 (1 พฤษภาคม 2557)

เครปญี่ปุ่น เห็นแพนเค้กราดครีมข้นๆแล้วชวนให้หวาดเสียว กลัวว่า หากกินมากๆ เข้า นอกจากจะกลายเป็นโรคอ้วนแล้ว ยังทำให้เป็นโรคเรื้อรังอีกสารพัดโรค ปักษ์นี้คนสวยจึงจะทำขนมสุขภาพซึ่งกินแล้วอร่อยและดีต่อร่างกาย ขนมที่ว่านี้คือ “เครปญี่ปุ่น” เราใช้แป้งสาลีโฮลวีตทำค่ะ และใช้น้ำเต้าหู้แทนเนย นม แถมใส่ผลไม้สดอย่าง สตรอว์เบอร์รี่และราสเบอร์รี่ลงไปด้วย ช่วยเพิ่มสีสัน รสชาติ และคุณค่าสารอาหาร ซึ่งผลไม้ทั้งสองชนิด จัดเป็น ซูปเปอร์ฟรุ้ต ที่มีวิตามินซี และสารแอนติออกซิแดนต์ในปริมาณสูง กินแล้วจะติดใจ ส่วนผสม แป้งสาลีโฮลวีต ½ ถ้วย ข้าวโอ๊ตปั่นละเอียด ½ ถ้วย เกลือ ½ ช้อนชา เบกกิ้งโซดา 1½ ช้อนชา น้ำตาลทรายไม่ขัดขาว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำเต้าหู้ 1 ถ้วย วานิลา 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา สตรอว์เบอร์รี่หั่นชิ้นเล็ก 10 ผล ถั่วแดงกวน ½ ถ้วย ราสเบอร์รี่ 5 ผล ใบสะระแหน่เล็กน้อย น้ำมันพืชเล็กน้อย วิธีทำ 1.ผสมแป้งสาลีโฮลวีต ข้าวโอ๊ต เกลือ เบกกิ้งโซดา และน้ำตาลทรายไม่ขัดขาว คนให้เข้ากัน 2.ค่อยๆเทน้ำเต้าหู้ลงไปทีละน้อย คนให้เข้ากัน ตั้งทิ้งไว้สักครู่ 3.ใส่วานิลา น้ำผึ้งและสตรอว์เบอร์รี่ลงไป คนให้เข้ากัน 4.ตั้งกระทะ เทน้ำมันพืชลงไปเล็กน้อย วางพิมพ์ลงในกระทะ เทส่วนผสมในข้อ 3 ลงในพิมพ์ จี่จนส่วนผสมสุกได้ที่ ตักขึ้น พักไว้ แล้วเทส่วนผสมที่เหลือลงไปจี่ในกระทะจนหมด 5.วางแผ่นเครปที่จี่ได้ลงบนจาน ตักถั่วแดงกวนวางลงไป เกลี่ยให้เรียบเสมอกัน จากนั้นทำเหมือนเดิมอีกหนึ่งชั้น แล้ววางแผ่นเครปแผ่นที่สามประกบลงไป 6.วางราสเบอร์รี่และใบสะระแหน่ตกแต่งด้านบน พร้อมเสิร์ฟ